ประกันสุขภาพ New Health Standard (NHS) คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์ [2568]
🚨 ทำไมคุณต้องรู้จัก New Health Standard (NHS) เดี๋ยวนี้?
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนทำประกันสุขภาพวงเงินค่าห้องสูง แต่พอเข้าโรงพยาบาลจริงกลับ "ต้องจ่ายส่วนต่าง" ทั้งที่ราคาห้องก็ดูเหมือนจะไม่เกินวงเงิน?
คุณ ข. (นามสมมติ) อายุ 42 ปี ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพแบบเก่า (Old Standard) ที่มีค่าห้อง 5,000 บาท เขาเช็คราคาห้องเดี่ยวมาตรฐานของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง พบว่าราคา 5,600 บาท (รวมอาหารและบริการแล้ว)
เขาทำใจไว้แล้วว่าต้องจ่ายส่วนต่างวันละ 600 บาทแน่นอน... แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ "ถ้าเขาถือกรมธรรม์มาตรฐานใหม่ (NHS) ในวงเงิน 5,000 บาทเท่าเดิม เขาอาจไม่ต้องจ่ายส่วนต่างเลยสักบาทเดียว"
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
เพราะในหน้างานจริง โรงพยาบาลแจ้งราคาเหมาห้องรวมมา 5,600 บาท ซึ่งในกรมธรรม์ แบบเก่า จะนำยอด 5,600 นี้ไปตัดวงเงินค่าห้อง 5,000 บาททันที ทำให้เกินวงเงิน
แต่ใน มาตรฐานใหม่ (NHS) ยอด 5,600 บาทนี้ จะถูกดึง "ค่าบริการพยาบาล" (เช่น 1,600 บาท) ออกไปเบิกในวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล (หมวด 2) แทน
ทำให้ยอดที่จะนำมาตัดวงเงินค่าห้องเหลือเพียง 4,000 บาท ซึ่ง "ต่ำกว่า" วงเงิน 5,000 บาทที่คุณมี... ผลลัพธ์คือ คุณเคลมได้เต็ม 100% โดยไม่ต้องควักเงินจ่ายเพิ่ม
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกกลไกนี้ และความลับอื่นๆ ของ New Health Standard (NHS) ที่ทำให้แผนนี้คุ้มค่ากว่าที่คุณคิด
📋 New Health Standard (NHS) คืออะไร?
New Health Standard (NHS) หรือ มาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่ คือมาตรฐานที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดขึ้นตาม คำสั่งนายทะเบียนที่ 56/2562 เพื่อยกระดับความคุ้มครองและทำให้การเปรียบเทียบกรมธรรม์ประกันสุขภาพง่ายขึ้น
🎯 จุดเปลี่ยนสำคัญ 4 ประการ:
1. ผลประโยชน์มาตรฐาน 13 หมวด
NHS กำหนดให้ทุกบริษัทประกันใช้โครงสร้างผลประโยชน์เดียวกัน แบ่งเป็น 13 หมวดหลัก:
หมวดผู้ป่วยใน (IPD) — หมวด 1-5:
หมวด 1: ค่าห้องและค่าอาหาร ค่าบริการในโรงพยาบาล
ครอบคลุม: ค่าห้องพัก, ค่าอาหาร, ค่าบริการทั่วไปของโรงพยาบาล
จุดเด่น NHS: แยกค่าบริการพยาบาลออกไปเบิกหมวด 2 ได้
หมวด 2: ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษา
ครอบคลุม: ค่าตรวจเลือด, เอกซเรย์, ค่ายา, ค่าบริการพยาบาล
มักเป็นวงเงินเหมาจ่ายก้อนใหญ่
หมวด 3: ค่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ค่าแพทย์)
ค่าแพทย์เยี่ยม, ค่าปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
หมวด 4: ค่ารักษาพยาบาลโดยการผ่าตัด (ศัลยกรรม) และหัตถการ
ค่าห้องผ่าตัด, ค่าอุปกรณ์, ค่าศัลยแพทย์, ค่าวิสัญญีแพทย์
หมวด 5: การผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (Day Surgery)
ผ่าตัดเสร็จกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน
หมวดการรักษาเฉพาะทาง — หมวด 6-9:
หมวด 6: ค่าบริการทางการแพทย์ก่อน-หลังเข้าโรงพยาบาล
ครอบคลุม: ตรวจก่อนผ่าตัด 30 วัน, ตรวจติดตามหลังออก 30 วัน
หมวด 7: ค่ารักษาพยาบาลอุบัติเหตุฉุกเฉิน (ภายใน 24 ชั่วโมง) แบบผู้ป่วยนอก
กรณีอุบัติเหตุที่ต้องรักษาทันที แต่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
หมวด 8: ค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation)
กายภาพบำบัด, ทำแผล, ฟื้นฟูหลังผ่าตัด
หมวด 9: ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการบำบัดรักษาโรคไตวายเรื้อรัง (ฟอกไต)
Hemodialysis, Peritoneal Dialysis
หมวดโรคร้ายแรงและอื่นๆ — หมวด 10-13:
หมวด 10: ค่ารักษาด้วยรังสี (Radiation Therapy)
IMRT, IGRT, Proton Therapy
หมวด 11: ค่าเคมีบำบัด (Chemotherapy) และยารักษาแบบพุ่งเป้า (Targeted Therapy)
จุดเด่น NHS: ครอบคลุมยาพุ่งเป้า (Targeted Therapy) ที่แพงมาก
หมวด 12: ค่าบริการรถพยาบาลฉุกเฉิน
หมวด 13: ค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD — ถ้ามีสัญญาเพิ่มเติม)
2. กลไกค่าห้องแบบยืดหยุ่น (The Nursing Fee Split)
นี่คือ จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด ที่ทำให้ NHS ต่างจากมาตรฐานเก่า
โครงสร้างบิลค่าห้องจริง (4 ส่วน):
ค่าห้องพัก (Room Charge)
ค่าอาหาร (Food/Board)
ค่าบริการโรงพยาบาล/บริการทั่วไป (Hospital Service)
ค่าบริการพยาบาล (Nursing Fee) ← ตัวแปรสำคัญ
มาตรฐานเก่า:
รวมทั้ง 4 รายการไปตัดวงเงินค่าห้อง (หมวด 1) ทันที
ผลลัพธ์: วงเงินเต็มเร็ว → ต้องจ่ายส่วนต่าง
NHS:
แยก รายการที่ 4 (Nursing Fee) ออกไปเบิกหมวด 2 (ค่ารักษา) แทน
ผลลัพธ์: วงเงินค่าห้องเหลือเฟือ → ลดหรือไม่มีส่วนต่าง
ตัวอย่างโครงสร้างราคาจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ:
ราคาห้องที่โรงพยาบาลแจ้ง: 5,660 บาท/คืน แยกเป็น: - ค่าห้อง: 2,460 บาท - ค่าบริการทั่วไป: 800 บาท - ค่าอาหาร: 600 บาท - ค่าบริการพยาบาล: 1,800 บาท มาตรฐานเก่า (ค่าห้อง 5,000): → 5,660 > 5,000 → จ่ายส่วนต่าง 660 บาท/คืน ❌ NHS (ค่าห้อง 5,000): → หมวด 1: 2,460 + 800 + 600 = 3,860 < 5,000 ✅ → หมวด 2: 1,800 (Nursing Fee) → เบิกได้เต็ม ✅ → จ่ายส่วนต่าง: 0 บาท ✅
3. ขยายความคุ้มครองโรคแต่กำเนิด
NHS ครอบคลุมโรคที่เป็นมาแต่กำเนิดภายใต้เงื่อนไข:
อาการปรากฏหลังอายุ 16 ปี
กรมธรรม์มีผลบังคับใช้มาแล้ว 1 ปี
ตัวอย่าง:
✅ คุ้มครอง: ผนังหัวใจรั่วที่เพิ่งตรวจพบตอนอายุ 25 ปี
❌ ไม่คุ้มครอง: Down syndrome ที่ทราบตั้งแต่เกิด
4. การันตีการต่อสัญญา (Renewal Guarantee)
ในอดีต หากคุณเคลมเยอะ บริษัทอาจขอ "ไม่ต่อสัญญา" ในปีถัดไป
แต่ตาม คำสั่ง คปภ. ที่ 56/2562 กำหนดชัดเจนว่า บริษัทสามารถสงวนสิทธิ์ไม่ต่ออายุสัญญาได้ใน 3 กรณีเท่านั้น:
| เงื่อนไข | ความหมาย | ตัวอย่าง |
| 1. เรียกร้องผลประโยชน์โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ | เคลมโดยไม่ได้ป่วยจริงหรือไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล | นอนโรงพยาบาลเพื่อพักผ่อน ไม่ใช่รักษาโรค |
| 2. ไม่แถลงข้อความจริง | ปกปิดประวัติสุขภาพในใบคำขอเอาประกัน | มีเบาหวานแต่ไม่แจ้งในใบสมัคร |
| 3. เคลมค่าชดเชยนอน รพ. รวมทุกบริษัทเกินรายได้จริง | รับค่าชดเชยรายวันรวมจากทุกบริษัทเกินกว่ารายได้ที่แท้จริง | รายได้ 50,000 บาท/เดือน แต่เคลมค่าชดเชย 80,000 บาท/เดือน |
นอกจากนี้: บริษัทประกันมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญา หากมีหลักฐานว่าผู้เอาประกัน ฉ้อฉลประกันภัย
✅ พูดให้เข้าใจง่าย:
ถ้าคุณป่วยจริง เคลมจริง แถลงสุขภาพตามความเป็นจริง — บริษัทไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการต่ออายุ ไม่ว่าจะเคลมมากแค่ไหนก็ตาม
⚠️ หมายเหตุสำคัญเรื่องการปรับเบี้ย:
บริษัทประกัน ไม่สามารถ ขึ้นเบี้ยเฉพาะคุณคนเดียวเพราะคุณเคลมเยอะ
แต่บริษัท สามารถ ปรับเบี้ยประกันสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ ทั้ง Portfolio (ทุกคนในแผนประกันเดียวกัน) ได้ ตามเหตุผลดังนี้:
อายุที่เพิ่มขึ้น (Age-Banding)
การเปลี่ยนแปลงอาชีพ
ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้นโดยรวม
ประสบการณ์การเคลมโดยรวมของ Portfolio
แปลว่า: ถ้าคนในแผนประกันเดียวกับคุณเคลมกันเยอะโดยรวม เบี้ยของทุกคนอาจปรับขึ้นพร้อมกัน แต่จะไม่มีการ "เลือกปฏิบัติ" กับคุณคนเดียว
💎 ปัจจัยที่ควรพิจารณา: ความมั่นคงของ Portfolio
การปรับเบี้ยทั้ง Portfolio ขึ้นอยู่กับ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ของบริษัทประกัน
คำถามสำคัญที่ควรถามก่อนเลือกบริษัท:
บริษัทมีฐานลูกค้าใหญ่แค่ไหน?
Portfolio ใหญ่ = กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า (Law of Large Numbers)
ฐานลูกค้าเล็ก = ความผันผวนสูง → เสี่ยงปรับเบี้ยบ่อย
บริษัทมีสินทรัพย์และเงินกองทุนเพียงพอหรือไม่?
สินทรัพย์สูง = รองรับการจ่ายค่าสินไหมได้ดีโดยไม่ต้องรีบปรับเบี้ย
สินทรัพย์น้อย = อาจต้องปรับเบี้ยเร็วเมื่อมีการเคลมสูง
ตัวอย่าง: บริษัทประกันชีวิตชั้นนำในไทยมีสินทรัพย์ตั้งแต่หลักหมื่นล้านจนถึงหลักล้านล้านบาท — ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อความสามารถในการรองรับความเสี่ยงระยะยาว
บริษัทมีประวัติการปรับเบี้ยอย่างไร?
บริษัทที่มีความมั่นคงสูงมักไม่ต้องปรับเบี้ยทั้ง Portfolio บ่อยๆ
บริษัทชั้นนำบางแห่งยังไม่เคยมีประวัติการปรับเบี้ยขึ้นทั้ง Portfolio เลย ตั้งแต่เปิดขายผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่
บริษัทที่มีฐานเงินทุนน้อยกว่าอาจต้องปรับเบี้ยบ่อยขึ้นเพื่อรักษาสภาพคล่อง
ข้อควรระวัง:
เบี้ยถูกในตอนแรก อาจไม่ได้หมายความว่าถูกตลอดไป
บริษัทที่ขาดทุนจากการจ่ายค่าสินไหมอาจต้องปรับเบี้ยทั้ง Portfolio เพื่อรักษาสภาพคล่อง
การเลือกบริษัทที่มีความมั่นคงสูงคือการลงทุนในความเสถียรภาพของเบี้ยประกันระยะยาว
🏥 ทำไม คปภ. ถึงต้องสร้างมาตรฐานใหม่?
วิกฤตสุขภาพคนไทย: ข้อมูลจาก NHES VII
การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 (NHES VII) ปี 2567-2568 โดยคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ร่วมกับ สวรส. และ สสส. เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจ:
| ภาวะสุขภาพ | สัดส่วนคนไทย (อายุ 15 ปีขึ้นไป) |
| ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน (BMI ≥ 25) | 45.0% |
| ความดันโลหิตสูง | 29.5% |
| เบาหวาน | 10.6% |
| ผู้ป่วยความดันสูงที่ไม่รู้ตัว | 47.8% |
| ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่รู้ตัว | 27.0% |
เมื่อเกือบครึ่งของประชากรอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ความต้องการประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองดีจึงเพิ่มสูงขึ้น
NHS คือคำตอบเชิงนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้
📊 เปรียบเทียบ: มาตรฐานเก่า vs New Health Standard
| หัวข้อ | มาตรฐานเก่า | New Health Standard (NHS) |
| โครงสร้างผลประโยชน์ | แต่ละบริษัทกำหนดเอง ไม่มีมาตรฐาน | 13 หมวดมาตรฐานเดียวกันทุกบริษัท |
| กลไกค่าห้องพัก | รวม 4 รายการในวงเงินค่าห้อง (วงเงินเต็มเร็ว) | แยก Nursing Fee ไปหมวด 2 (ประหยัดวงเงินค่าห้อง) |
| การเคลม | ซับซ้อน มีส่วนต่างบ่อย | ง่ายขึ้น ลดภาระจ่ายส่วนต่าง |
| โรคแต่กำเนิด | มักไม่คุ้มครอง หรือยกเว้นทั้งหมด | คุ้มครองภายใต้เงื่อนไข |
| เทคโนโลยีการรักษา | จำกัด ไม่ครอบคลุมเทคนิคใหม่ | ครอบคลุม Targeted Therapy, Proton Therapy |
| การต่อสัญญา | อาจถูกยกเลิกได้ | การันตีการต่อสัญญา (มีเงื่อนไข 3 ข้อ) |
| การเปรียบเทียบ | ยาก ต้องอ่านรายละเอียดทีละบริษัท | ง่าย เปรียบเทียบได้ทันที |
🔬 Deep Dive: ความลับของ "ค่าบริการพยาบาล" (The Hidden Saving)
นี่คือส่วนที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ และเป็นเหตุผลว่าทำไม ค่าห้อง 4,000 ของ NHS อาจดีกว่าค่าห้อง 5,000 ของแบบเก่า
📋 โครงสร้างบิลค่าห้องจริง (4 ส่วน)
บิลค่าห้องโรงพยาบาล 1 คืน ไม่ได้มีแค่ราคาเตียง แต่ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก:
ค่าห้องพัก (Room Charge)
ค่าอาหาร (Food/Board)
ค่าบริการโรงพยาบาล/บริการทั่วไป (Hospital Service)
ค่าบริการพยาบาล (Nursing Fee)
ตัวอย่างโครงสร้างราคาจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ:
ค่าห้อง: 2,460 บาท
ค่าบริการทั่วไป: 800 บาท
ค่าอาหาร: 600 บาท
ค่าบริการพยาบาล: 1,800 บาท
รวม: 5,660 บาท/คืน
❌ มาตรฐานเก่า: กับดัก "รวมทั้ง 4 รายการ"
กลไกเก่า:
แบบเก่าจะเอา ทั้ง 4 รายการ มารวมกันแล้วไปตัดจากวงเงิน "ค่าห้อง" ก้อนเดียว
สถานการณ์:
โรงพยาบาลแจ้งราคาห้องรวม: 5,600 บาท
กรมธรรม์ค่าห้อง: 5,000 บาท
การคำนวณ:
ค่าใช้จ่ายจริง (4 รายการรวม): 5,600 บาท วงเงินค่าห้อง: 5,000 บาท 5,600 > 5,000 → ส่วนต่างที่ต้องจ่ายเอง: 600 บาท/คืน ❌
✅ New Health Standard: กลไก "แยกหมวด" (The Split Mechanism)
กลไกใหม่:
NHS กำหนดให้ย้าย รายการที่ 4 (ค่าบริการพยาบาล) ออกไปอยู่ใน หมวด 2 (ค่าบริการทางการแพทย์) ซึ่งเป็นวงเงินเหมาจ่ายก้อนใหญ่แยกต่างหาก
สถานการณ์เดิม:
โรงพยาบาลแจ้งราคาห้องรวม: 5,600 บาท
กรมธรรม์ NHS ค่าห้อง: 5,000 บาท
การคำนวณ:
ส่วนที่ 1 (หมวด 1 - ค่าห้อง):
ค่าห้อง + อาหาร + บริการรพ. = 2,460 + 600 + 800 = 3,860 บาท วงเงินหมวด 1: 5,000 บาท 3,860 < 5,000 → เคลมได้เต็ม 100% ✅ → เหลือวงเงินอีก 1,140 บาท
ส่วนที่ 2 (หมวด 2 - ค่ารักษา):
ค่าบริการพยาบาล: 1,800 บาท (ถูกดึงออกมา) → ย้ายไปเบิกจากวงเงินเหมาจ่ายหมวด 2 → เคลมได้เต็ม 100% ✅
ผลลัพธ์:
คุณจ่ายส่วนต่าง: 0 บาท ✅
ทั้งที่ซื้อค่าห้องแค่ 5,000 บาท (เท่ากับราคาห้องรวมที่โรงพยาบาลแจ้ง!)
💡 ทำไมกลไกนี้ถึงสำคัญ?
ข้อดี 3 ประการ:
ซื้อเท่าเดิม ได้มากกว่า (Same Price, More Coverage)
NHS ค่าห้อง 5,000 บาท สามารถครอบคลุมห้องราคารวม 5,600 บาท ได้
เพราะไม่ต้องแบกรับภาระค่าพยาบาล (1,800 บาท) ไว้ในวงเงินเดียวกัน
ลดส่วนต่างแฝง (Eliminate Hidden Excess)
แบบเก่ามักมีส่วนต่างที่คุณไม่รู้ตัว เพราะค่าพยาบาลมาเบียดบัง
NHS แยกชัดเจน ทำให้วงเงินค่าห้องใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ
โปร่งใส ตรวจสอบได้ (Transparent)
คุณสามารถขอดูบิลแยกรายการจากโรงพยาบาล
เช็คได้ทันทีว่าแต่ละส่วนไปเบิกจากหมวดไหน
🚀 5 ข้อได้เปรียบที่คุณจะได้จากการอัปเกรด
1. 🛡️ การันตีการต่อสัญญา (Renewal Guarantee)
นี่คือเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุด ในอดีตหากคุณเคลมเยอะ บริษัทอาจใช้สิทธิ์ "ไม่ต่อสัญญา" ในปีถัดไป แต่ NHS ระบุชัดเจนว่า บริษัทไม่สามารถยกเลิกหรือปฏิเสธการต่อสัญญาลูกค้าได้ (แม้จะเคลมเยอะแค่ไหนก็ตาม)
บริษัทจะสงวนสิทธิ์ไม่ต่ออายุได้เพียง 3 กรณีเท่านั้น (ตามที่อธิบายไว้ข้างต้น)
2. 💊 รองรับการรักษามะเร็งสมัยใหม่
NHS เขียนระบุชัดเจนในหมวด 10-11 ให้ครอบคลุมการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) สำหรับโรคมะเร็ง ทั้ง:
รังสีรักษา (Radiation Therapy) รวม IMRT, IGRT
เคมีบำบัด (Chemotherapy)
ยารักษาแบบพุ่งเป้า (Targeted Therapy) - ซึ่งกรมธรรม์เก่ายุคก่อนปี 2020 มักไม่ครอบคลุม
Immunotherapy (บางแผน)
3. ⚖️ เปรียบเทียบง่าย ไม่โดนหลอก
ด้วยโครงสร้าง 13 หมวดที่เหมือนกันทุกบริษัท คุณสามารถวางกรมธรรม์ 2 เล่มคู่กันแล้วดูทีละบรรทัดได้เลย ใครให้วงเงินหมวดไหนเยอะกว่าก็ชนะไป ตัดปัญหาเรื่อง "ซ่อนเงื่อนไข" ในตัวหนังสือเล็กๆ
4. 👶 ไม่ทิ้งคนที่มีโรคแต่กำเนิด
สำหรับคนที่เพิ่งมารู้ตัวตอนโตว่ามีภาวะผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ผนังหัวใจรั่วที่เพิ่งเจอตอนอายุ 25) NHS จะให้ความคุ้มครองหลังจากพ้นระยะรอคอยและกรมธรรม์มีผล 1 ปี ถือเป็นความยุติธรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
5. 💰 ความคุ้มค่าในระยะยาว
แม้เบี้ย NHS อาจดูสูงกว่าแบบเก่าเล็กน้อย (10-15%) แต่เมื่อเทียบกับ:
ความเสี่ยงที่จะถูกเท (Cancellation Risk)
ความเสี่ยงที่เคลมไม่ได้ (Claim Rejection Risk)
ความเสี่ยงที่ต้องจ่ายส่วนต่างมหาศาล (Excess Risk)
ความคุ้มค่าของ NHS สูงกว่ามากในระยะยาว
⏰ สัญญาณเตือน: ทำไมการ "รอ" ถึงแพงกว่าที่คิด?
หลายคนคิดว่า "เดี๋ยวค่อยทำก็ได้" แต่ในทางคณิตศาสตร์ประกันภัย "การรอ" มีต้นทุนเสมอ
1. ต้นทุนจาก Age-Banding
เบี้ยประกันปรับขึ้นตามอายุทุกช่วง 5 ปี ตามตาราง TMO 2017 (ตารางมรณะไทย) การรอทำประกันตอนอายุมากขึ้น ไม่ใช่แค่จ่ายแพงขึ้นในปีแรก แต่คือการจ่ายแพงขึ้น ตลอดสัญญาที่เหลือ
ตัวอย่าง:
อายุ 35 ปี: เบี้ย 15,000 บาท/ปี
อายุ 40 ปี: เบี้ย 20,000 บาท/ปี (+33%)
ต้นทุนการรอ 5 ปี: เบี้ยเพิ่มขึ้นตลอดชีวิต = หลักแสนบาท
2. ต้นทุนจาก Health Risk (NHES VII)
สถิติบอกว่า 45% ของคนไทยมีภาวะเสี่ยง วันนี้คุณอาจจะสุขภาพดี แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณตรวจเจอภาวะสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์:
ตัวอย่างผลกระทบต่อการทำประกัน:
| ภาวะสุขภาพ | ผลกระทบต่อการรับประกัน | หมายเหตุ |
| ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย (140/90 mmHg) | เบี้ยเพิ่ม 20-30% หรือยกเว้นโรคหัวใจและหลอดเลือด | ขึ้นอยู่กับอายุและการควบคุม |
| ไขมันในเลือดสูง (Cholesterol > 240 mg/dL) | เบี้ยเพิ่ม 15-25% หรือยกเว้นโรคหัวใจและหลอดเลือด | ถ้ากินยาควบคุมได้ดีอาจรับได้ |
| BMI สูง (30-35) | เบี้ยเพิ่ม 25-50% | โรคอ้วนระดับ 1-2 |
| เบาหวาน (HbA1c > 6.5%) | มักปฏิเสธการรับประกัน | บางบริษัทอาจพิจารณาถ้าควบคุมได้ดีมาก + อายุน้อย |
| โรคไทรอยด์ (ควบคุมได้ดี) | รับได้ปกติ หรือเบี้ยเพิ่มเล็กน้อย | ขึ้นอยู่กับประเภทและระยะเวลา |
ข้อสังเกต:
ภาวะสุขภาพที่ "เล็กน้อย" วันนี้ อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำประกันในอนาคต
การตรวจสุขภาพประจำปีอาจทำให้คุณ "รู้มากเกินไป" และสูญเสียสิทธิ์ทำประกันในราคามาตรฐาน
กลยุทธ์ที่ดีที่สุด: ทำประกันก่อนตรวจสุขภาพ (ถ้าอายุยังน้อยและไม่มีอาการผิดปกติ)
สถิติที่น่าคิด:
47.8% ของผู้ป่วยความดันสูง "ไม่รู้ตัว"
27.0% ของผู้ป่วยเบาหวาน "ไม่รู้ตัว"
หมายความว่า: พรุ่งนี้คุณอาจเป็นหนึ่งในสถิตินี้ และเมื่อ "รู้ตัว" สิทธิ์ในการทำประกันราคามาตรฐานจะหายไปตลอดกาล
❓ FAQ: คำถามยอดฮิต
Q1: มีประกันกลุ่ม/ประกันสังคมอยู่แล้ว จำเป็นต้องทำ NHS ไหม?
A: ประกันกลุ่มมักมีวงเงินจำกัด (เช่น ค่าห้อง 2,000) และหายไปทันทีที่คุณลาออก ส่วน NHS คือพอร์ตส่วนตัวที่ติดตัวคุณไปตลอด การมี NHS ช่วยปิดความเสี่ยงส่วนต่าง และคุ้มครองโรคร้ายแรงที่วงเงินสวัสดิการมักไม่พอจ่าย
Q2: ถ้าถือเล่มเก่าอยู่ ควรเปลี่ยนไหม?
A: หากคุณยังสุขภาพดีและอายุน้อยกว่า 50 ปี แนะนำให้อัปเกรด เพราะความคุ้มครองของ NHS (โดยเฉพาะเรื่องมะเร็งและค่าห้อง) ทันสมัยกว่ามาก แต่ถ้ามีโรคประจำตัวแล้ว ต้องระวังเรื่องการนับระยะรอคอยใหม่ หรือการไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่
Q3: เบี้ย NHS แพงไหม?
A: เฉลี่ยแล้วอาจสูงกว่าแบบเก่า 10-15% แลกกับความคุ้มครองที่กว้างขึ้นและการันตีการต่อสัญญา ถือเป็นการ "ซื้อความแน่นอน" ที่คุ้มค่า
Q4: ค่าห้อง 4,000 ของ NHS เทียบเท่าค่าห้องเท่าไหร่ของแบบเก่า?
A: เนื่องจากกลไก "แยกค่าพยาบาล" NHS ค่าห้อง 4,000 สามารถครอบคลุมห้องราคารวม 5,000-6,000 บาท ได้ (ขึ้นอยู่กับสัดส่วนค่าพยาบาลของแต่ละโรงพยาบาล) ซึ่งเทียบเท่ากับแบบเก่าค่าห้อง 5,000-6,000 บาท
Q5: ถ้าฉันอายุ 50+ แล้ว ยังทำ NHS ได้ไหม?
A: ได้ แต่เบี้ยจะสูงกว่าคนอายุน้อย และอาจต้องตรวจสุขภาพก่อนรับประกัน ถ้ามีโรคประจำตัว อาจมี Loading หรือ Exclusion แนะนำให้เปรียบเทียบหลายบริษัทและปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน
Q6: NHS คุ้มครองโรคร้ายแรงหรือไม่?
A: NHS ไม่ใช่ประกันโรคร้ายแรง (Critical Illness) แต่เป็นประกันสุขภาพที่ครอบคลุม ค่ารักษา โรคร้ายแรง เช่น:
ค่าเคมีบำบัด/รังสีรักษามะเร็ง (หมวด 10-11)
ค่าผ่าตัดหัวใจ (หมวด 4)
ค่าฟอกไต (หมวด 9)
แต่ไม่จ่ายเงินก้อนเหมือนประกันโรคร้ายแรง — แนะนำให้มีทั้งสองแบบเพื่อความคุ้มครองที่สมบูรณ์
Q7: ถ้าเคลมบ่อย บริษัทจะขึ้นเบี้ยฉันคนเดียวไหม?
A: ไม่ได้ — บริษัทไม่สามารถขึ้นเบี้ยเฉพาะคุณคนเดียว แต่สามารถปรับเบี้ย ทั้ง Portfolio (ทุกคนในแผนเดียวกัน) ได้ตามประสบการณ์การเคลมโดยรวม
📊 ข้อมูลที่ควรเช็คก่อนตัดสินใจ:
ตัวชี้วัดความมั่นคงของบริษัทประกัน:
สินทรัพย์รวม (Total Assets) — ยิ่งสูงยิ่งดี
เงินกองทุน (Capital Fund) — เพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงหรือไม่
อัตราส่วนการจ่ายค่าสินไหม (Claim Settlement Ratio) — สูงกว่า 95% ถือว่าดีมาก
ประวัติการดำเนินงาน — บริษัทที่อยู่มานานมักมีเสถียรภาพสูงกว่า
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) — จากสถาบันจัดอันดับสากล
แหล่งข้อมูล:
เว็บไซต์ คปภ. (www.oic.or.th) — รายงานประจำปีของบริษัทประกัน
งบการเงินที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
รายงานจากสมาคมประกันชีวิตไทย
สรุป: การเลือก NHS ไม่ใช่แค่เลือก "มาตรฐาน" แต่ควรเลือก "บริษัทที่มีความมั่นคงพอจะรักษามาตรฐานนั้นไว้ได้ในระยะยาว"
🎯 บทสรุป: การตัดสินใจของคุณในวันนี้
New Health Standard ไม่ใช่แค่สินค้าใหม่ แต่คือ "มาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำ" ของคนในยุคปัจจุบัน
ในวันที่ค่ารักษาพยาบาลวิ่งเร็วกว่าเงินเฟ้อ และโรคร้ายแรงเริ่มปรากฏในคนที่อายุน้อยลง การมีกรมธรรม์ที่:
กลไกโปร่งใส (แยกค่าบริการพยาบาล เคลมง่าย)
คุ้มครองจริง (ครอบคลุมมะเร็ง/โรคแต่กำเนิด)
มั่นคงกว่า (การันตีต่อสัญญา ไม่โดนเท)
ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น ความจำเป็นทางคณิตศาสตร์
💡 สิ่งที่คุณควรทำต่อไป
ถ้าคุณยังไม่มี NHS หรือถือกรมธรรม์มาตรฐานเก่า:
ตรวจสอบกรมธรรม์ปัจจุบัน
เป็นมาตรฐานเก่าหรือ NHS?
ดูปีที่ออกกรมธรรม์ (ถ้าก่อน 2021 ส่วนใหญ่เป็นแบบเก่า)
เช็คว่ามีหมวด 10-11 (เคมีบำบัด/รังสี) หรือไม่
ประเมินความเสี่ยงส่วนตัว
อายุเท่าไหร่? (ยิ่งอายุมากเบี้ยยิ่งแพง)
สุขภาพเป็นอย่างไร? (ถ้ายังดีอยู่ ควรรีบทำ)
มีประวัติครอบครัวเสี่ยงโรคร้ายแรงหรือไม่?
ปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินที่เข้าใจ NHS จริงๆ
ไม่ใช่แค่ขายกรมธรรม์ แต่ออกแบบกลยุทธ์ความคุ้มครองที่เหมาะกับคุณ
สามารถอธิบายกลไก "ค่าบริการพยาบาล" ได้ชัดเจน
เข้าใจความแตกต่างระหว่างบริษัทต่างๆ (ไม่ใช่แค่ดูเบี้ยถูก-แพง)
คำถามสุดท้าย: ระหว่างความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายส่วนต่างหลักแสนในอนาคต กับการยอมจ่ายเบี้ยที่สมเหตุสมผลเพื่อล็อคมาตรฐานใหม่ในวันนี้... คุณจะเลือกข้างไหน?
📌 หมายเหตุสำคัญ
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้าง NHS โดยทั่วไป การเลือกแผนประกันที่เหมาะสมควรพิจารณาหลายปัจจัย:
ความมั่นคงทางการเงินของบริษัท
ประวัติการจ่ายค่าสินไหมทดแทน (Claim Settlement Ratio)
คุณภาพการบริการ (Claim Process, Customer Service)
ความเหมาะสมกับสถานการณ์ส่วนตัว
การเปรียบเทียบเบี้ยประกันอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ — ควรพิจารณาภาพรวมของความคุ้มครองและความมั่นคงในระยะยาว
📊 บทวิเคราะห์โดย: เนิร์ดกับนาถ (Nerd with Nart)
📚 อ้างอิง:
แหล่งข้อมูลหลัก (Tier 1):
[1] คำสั่งนายทะเบียนที่ 56/2562 — หลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบแบบและข้อความสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ ประเภทสามัญ แบบมาตรฐาน, สำนักงาน คปภ.
URL: https://www.oic.or.th (ค้นหา "คำสั่งนายทะเบียนที่ 56/2562")
[2] การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 (NHES VII) — พ.ศ. 2567-2568, คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
[3] ตารางมรณะไทย พ.ศ. 2560 (TMO 2017) — สำนักงาน คปภ.
⚠️ ข้อจำกัดความรับผิดชอบ (Disclaimer)
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการเงินหรือการชักชวนให้ซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ ข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ณ วันที่เผยแพร่ ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
ตัวอย่างการคำนวณในบทความเป็นการประมาณการเพื่อการศึกษา ค่าใช้จ่ายจริงขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล เงื่อนไขกรมธรรม์ และสถานการณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล
🏷️ Tags:
#ประกันสุขภาพ #NewHealthStandard #NHS #คปภ #ประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ #เนิร์ดกับนาถ #HealthInsurance #การวางแผนการเงิน #NHES7
End of transmission.
Return to Archive